เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o พ.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เรามาฟังธรรมๆเรามาทำบุญกุศล ทำบุญกุศลที่ไหน ทำบุญกุศลที่เราเกิดมาเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนานี้เป็นลาภอันประเสริฐเกิดเป็นมนุษย์เป็นลาภอันประเสริฐ เพราะถ้าไม่เกิดเป็นมนุษย์ จิตมันต้องเกิดอยู่แล้วแต่เกิดในสถานะอะไร ถ้าไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันมีความสุข แต่ความสุขอย่างนั้นมันเจือไปด้วยความทุกข์ไง ความสุขอย่างนั้น เทวดาเขาเป็นทิพย์สมบัติๆ คำว่า“ทิพย์สมบัติ” ในใจ 

ดูสิ ดูพระอินทร์สิ ดูพระอินทร์มาใส่บาตรพระกัสสปะ เวลาปกครองเทวดาปกครองด้วยกันเขามีแสงมากกว่า เขามีบุญกุศลมากกว่า นี่เป็นพระอินทร์ ในหัวใจมันคิดเองไง ในหัวใจเราต่ำต้อยกว่าเขาเราเป็นผู้ปกครองเขาดูแลเขา แต่ทิพย์สมบัติเราน้อยกว่าเขาเวลาพระกัสสปะเข้าฌานสมาบัติออกจากฌานสมาบัติ มาแอบใส่บาตร แต่พระกัสสปะท่านก็มีความปรารถนาของท่าน มีความปรารถนาของท่านแบบโลกๆ ไง 

เวลาทางโลก คนทุกข์คนจน คนชายขอบ คนที่ไม่มีใครดูแล เวลาออกจากฌานสมาบัติ ตั้งใจจะไปโปรดคนทุกข์คนจน ไปโปรดช่างทอผ้าพระอินทร์ก็ปลอมเป็นช่างทอหูก จะมาใส่บาตรพระกัสสปะ พอใส่บาตรพระกัสสปะเวลาใส่บาตรพอใส่บาตรไปแล้ว พระอินทร์มันเป็นทิพย์อาหารเป็นทิพย์ใช่ไหม พอใส่ปั๊บ มันไม่ใช่คนจน

คนจนเขาก็จนใช่ไหมคนจน ดูสิ วัตถุที่ทำบุญกุศลของเขา ทานของเขาก็ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขา น้ำพักน้ำแรงของเขา คนจนใช่ไหม มันก็ทำประสาคนจนคนรวยมันก็ทำประสาคนรวยใช่ไหม เทวดาก็ทำประสาเทวดาเขาเป็นทิพย์สมบัติ ถ้าพระเขามีสติเขารู้พระเขามีปัญญาเขามองก็รู้ว่าคนคนนี้มีสถานะอย่างใด ถ้ามีสถานะอย่างใดนี่สถานะนะ แต่หัวใจที่ยิ่งใหญ่ไง หัวใจที่ปรารถนาที่จะสร้างบุญกุศลอันนั้น ดูสิ พระอินทร์ๆ เราบอกว่าเวลาเกิด ดูสิเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันมีความสุขเป็นทิพย์สมบัติ แต่กิเลสในหัวใจของเรามันก็บีบคั้น กิเลสในใจของตนพระอินทร์ยังมีความทุกข์ความทุกข์ที่ตัวเองปกครองเขาแล้วควบคุมเขาทิพย์สมบัติน้อยกว่าเขา จะมาสร้างบุญๆ เห็นไหม

เวลาเราเกิดมา เราเกิดเป็นมนุษย์เป็นลาภอันประเสริฐถ้าลาภอันประเสริฐแล้วมันมีวาระ วาระคือว่า เรา ชีวิตนี้มันต้องมีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราต้องตายแน่นอน เราตายข้างหน้าอยู่แล้ว ถ้าความตายรออยู่ข้างหน้า ถ้าเรามีสติปัญญา

เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนนะสอนถึงบริษัท ๔บริษัท ๔ อุบาสกอุบาสิกา เขาก็ขวนขวายของเขา เขาต้องเลี้ยงชีพของเขาด้วยวุฒิภาวะด้วยหัวใจของเขา เขาพยายาม ถ้าเขามีสติปัญญา เขาจะทำบุญของเขา 

พระ เวลาอุบาสกอุบาสิกา ภิกษุภิกษุณี ภิกษุภิกษุณีก็มาจากอุบาสก อุบาสิกานั่นแหละ ก็มาจากคนนั่นแหละก็มาจากฆราวาสนั่นแหละ แต่เพราะเขามีจิตใจของเขา เขามีความมุมานะ ของเขาเขาอยากจะมีทิพย์สมบัติของเขา เขาอยากจะมีบุญกุศลของเขา เขาอยากจะพ้นกิเลสของเขาเขาก็บวชเรียนมาเพื่อประพฤติปฏิบัติไง ถ้าเราไปประพฤติปฏิบัติขึ้นมาบวชมาเพื่อฆ่ากิเลส บวชมาเพื่อภาวนา บวชมาเพื่อจะค้นหากิเลสในใจของตน 

เวลาบวชมา ถ้าบวชมาเวลาบวชมาแล้วเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งถ้าการเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง สิ่งที่เกิดมา ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาวันวิสาขบูชา เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดเป็นพระพุทธเจ้าด้วยการตรัสรู้ธรรมเวลานิพพานไปนะ เวลาถ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะดูสิ พระเจ้าสุทโธทนะ พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระอรหันต์เวลาพระเจ้าสุทโธทนะสิ้นชีวิตพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระอรหันต์ นี่เวลานิพพานไป

นี่ก็เหมือนกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะก็มีร่างกายคนเราเกิดมามีร่างกาย เวลาตายไปก็ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ที่สุดคือว่ายังมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตนอยู่เวลาตาย ตายไปด้วยความห่วง ตายไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ ตายไปด้วยความทุกข์ความยาก ตายไปแล้วไม่รู้ว่าจะไปเกิดที่ไหน 

เวลาพระอรหันต์ท่านจะนิพพาน กิเลสมันตายแล้วกิเลสมันตายตอนวันที่สิ้นกิเลส วันที่สิ้นกิเลส กิเลสมันตายในหัวใจนั้นแล้ว สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังดำรงชีพอยู่ มันไม่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไม่มีความขุ่นข้องหมองในหัวใจ ไม่มีสิ่งใดตกอยู่ในหัวใจเลย ไม่มีเลยแล้วมันจะไปไหนล่ะ นี่ไง มันจบสิ้นกระบวนการไปแล้วมันถึงไม่มีความห่วงอาลัยอาวรณ์เลย ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น มันรอแต่วาระสุดท้าย รอวาระสุดท้ายอันนั้นเอง นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด ตรัสรู้และปรินิพพาน

เราก็เกิดเหมือนกัน เวลาเราเกิดขึ้นมาแล้วนะ เกิดเป็นมนุษย์นี่ลาภอันประเสริฐ เกิดมาแล้ว เวลาข้าราชการเขาทำงาน เวลาจะสมัครเป็นข้าราชการโอ้โฮ! แข็งแรงไบรต์มาก รับไว้แล้วราชการจะเจริญรุ่งเรืองมาก พอรับมันเข้ามานะ เช้าชามเย็นชาม ลากิจ ลาป่วย เวลาเอ็งสมัครนี่เอ็งแข็งแรงมากนะอู๋ย! สุดยอดเลยเวลาเข้ามาแล้วนะ ลากิจ ลาป่วย เช้าชามเย็นชาม

นี่ก็เหมือนกัน เวลาบวชเป็นพระขึ้นมาแล้ว บวชมาแล้วเช้าชามเย็นชาม ภาวนาสักแต่ทำ ทำพอเป็นพิธี นี่ก็เหมือนกัน จะไปวัดไปวา ไปวัดไปวานี่ลาภอันประเสริฐลาภอันประเสริฐจริงๆ นะ เพราะลาภอันประเสริฐนะ มันสองชั้นสามชั้น ปัญหามันซับซ้อนมากทีนี้ปัญหามันซับซ้อนมาก กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปลิ้นปล้อน แต่เวลาเกิดมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เวลาเราเกิดมาแล้วเรามีพระอรหันต์อยู่ในบ้านเรา ๒องค์ มีพ่อกับแม่พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกเพราะพ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา พ่อแม่ให้ชีวิตมาให้การศึกษามาพ่อแม่ปกป้องดูแลมา นี้ชีวิต นี่พระอรหันต์ของลูก 

เรามีพระอรหันต์ในบ้าน๒ องค์ แต่ถ้าบ้านเราเกิดมาด้วยบุญกุศลด้วยกระแสบุญสายบุญสายกรรมที่ดีงามจะส่งเสริมกัน ดูแลกัน รักษากันโอ๋ย! มีแต่ความสุขทั้งนั้นน่ะ แต่เกิดด้วยเวรด้วยกรรมนะ เกิดมามีแต่ความบาดหมาง เกิดมามีแต่ความเจ็บซ้ำน้ำใจเกิดมานะ นี่สายบุญสายกรรมไงคำว่า “สายบุญสายกรรม”กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เราสร้างเวรสร้างกรรมมาทั้งนั้นน่ะ 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์อดีตยังไม่ได้พยากรณ์ องค์สมเด็จพระสัมมามัมพุทธเจ้าท่านบอกท่านเคยตกนรกมา ท่านเคยเกิดในวัฏฏะ จิตมันเกิดได้หมดแหละ มันอยู่ที่การกระทำ ท่านเคยพบเคยเห็นมาทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วสร้างแต่คุณงามความดีมาๆเวลาทศชาติ ๑๐ชาติสุดท้ายเสียสละทั้งนั้นๆ 

ความเสียสละทั้งนั้น เสียสละด้วยความเต็มใจนะ ไม่ได้เสียสละแบบเราไง ด้วยความเชื่อศรัทธามันคอนแคลนไงแต่อจลศรัทธาด้วยมุ่งมั่นของเขา ด้วยความเต็มใจของเขาเขาทำด้วยแรงปรารถนาของเขา ดูสิ มันจะทุกข์จนเข็ญใจแต่ท่านทำของท่านเพราะท่านมีเป้าหมายของท่าน เวลาถึงที่สุด เวลาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอำนาจวาสนาบารมี คำว่า“อำนาจวาสนาบารมี” เวลาคนเราจะเป็นผู้บริหาร ถ้ามีการฝึกฝนมาตั้งแต่ภารโรงขึ้นมาเลย เราทำหน้าที่การงานขึ้นมาจนเป็นผู้บริหาร มันมองทะลุปรุโปร่งไปหมด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษามากับเจ้าลัทธิต่างๆ ไอ้พวกเจ้าลัทธิ ไอ้พวกที่ปฏิบัติแล้ววนเวียนอยู่ ไปศึกษากับเขามาหมด รู้ทั้งนั้นน่ะทะลุปรุโปร่ง มันจะหลอกอย่างไรขนาดศึกษายังไม่ได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีสติปัญญาขนาดนั้นว่าไม่ใช่ทางๆเวลาจะเป็นทางจริงๆ ขึ้นมาด้วยอำนาจวาสนาบารมีอันนี้ไง นี่เวลาว่าธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม พวกเราก็คุยโม้ไง ธรรมะมีอยู่ดั้งเดิม เดินจะไปชนมันเลยนะ ไม่ต้องทำอะไร นอนหลับไปตื่นมาเป็นพระอรหันต์เลยมันไม่มีอยู่จริงธรรมะมีอยู่ดั้งเดิมของจริงอันนั้น แต่ผู้ที่จะสัมผัสมันไง 

หลวงตาท่านพูดประจำสิ่งที่สัมผัสธรรมได้คือความรู้สึกของคน ความรู้สึกอันนี้ แต่เราเอาสายตาไงเอาสายตากับเอาหูฟังสิ่งนี้มาไง แล้วก็ไปจดจำมา มันก็อยู่ข้างนอกนู่นน่ะอยู่ข้างนอก คำว่า “ข้างนอกข้างใน” คนที่ภาวนายังไม่เห็นไม่รู้จักหรอกเวลาข้างนอกก็ว่านอกผิวหนังเวลาข้างในก็ในผิวหนัง นอกความคิด ในความคิด ความคิดอันเดียวกันน่ะ ความคิดเรื่องผิวหนังก็ข้างนอก ความคิดเรื่องหัวใจความคิดเรื่องตับเรื่องปอดมันก็อยู่ข้างใน อยู่ในผิวหนัง แล้วมันเป็นข้างในไหม มันก็ความคิดอันเดิมนั่นแหละ 

แต่ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา ใจมันสงบระงับเข้ามานะ ที่ปัญญาๆที่มันใช้อยู่นี่ปัญญาอบรมสมาธิ ไอ้ปัญญาที่ว่าไบรต์ๆ นั่นน่ะ มันสูงส่งก็แค่ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิมันต้องเป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องดีงาม แต่คนเรามันเป็นมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิด ความเห็นผิด พอถ้าใช้ปัญญา โอ้โฮ! นี่ปัญญาๆ

มันปัญญาข้างนอกๆ ไง แล้วเป้าหมายมันผิดไง ก็ไปยึดมั่นถือมั่นว่า เราใช้ปัญญา ปัญญามัน อู้ฮู! สุดยอดมันปล่อยวางหมดเลย

ก็อารมณ์ปล่อยวางอารมณ์ไม่ใช่กิเลส “มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจเราไม่ได้อีกเลย” แล้วอารมณ์ความรู้สึกมันคิดโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้วธรรมะเป็นธรรมชาติๆ เราว่าเป็นธรรมชาติทั้งนั้นน่ะ แล้วใครรู้ธรรมชาติล่ะ

ถ้าพิจารณาธรรมชาติ เห็นสรรพสิ่งนี้เป็นธรรมชาติ เราปล่อยวางมันมาพอปล่อยวางมันหดสั้นเข้ามาพอหดสั้นเข้ามาว่าเป็นเรา เราอาศัยใช่ไหมเพราะหัวใจมันเป็นนามธรรมใช่ไหม ถ้าไม่คิดก็หัวใจไม่มี ถ้าคิดขึ้นมาก็หัวใจมันมี แล้วมันคิดเรื่องอะไร มันคิดเรื่องธรรมชาตินี่ไง แล้วถ้ามันปล่อยธรรมชาติเข้ามา แล้วตัวมันล่ะ ถ้าตัวมันนั่นแหละสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิที่มันฝึกหัดใช้ปัญญามันจะเห็นความแตกต่าง นี่ไงข้างนอก ข้างในมันอยู่ตรงนี้ ข้างนอก ข้างใน คิดออกข้างนอก

เวลามันกลับเข้ามาข้างใน แล้วถ้าคนที่มันเห็นสติเห็นปัญญาขึ้นมาอย่างนี้แล้วเวลาจะพิจารณาเวลาพิจารณาไปแล้ว โอ้โฮ! ตอนที่ทำสมาธิก็ทำสมาธิมาตลอดสมาธิมันแก้กิเลสไม่ได้ ตอนนี้ก็ฝึกหัดใช้ปัญญา โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์มากเลย พอมันมหัศจรรย์มากเลย ใช้แต่ปัญญาๆ ไป พอสมาธิมันอ่อนลงสมาธิมันเบาบางลง มันก็เป็นสัญญา พอสัญญาก็ตะบี้ตะบันจะทำมันไปอยู่นั่นน่ะ มันก็ไม่ได้หรอก คนที่ยังไม่เป็นมันก็ต้องติดขัดไปอย่างนี้ จนกว่าทำแล้วมันกระเสือกกระสนจนเต็มที่ของมันแล้ว แล้วมันจะไปทางไหนล่ะมันจะไปอย่างไรดีๆ จะหาทางแล้ว 

นี่ไง อัตตกิลมถานุโยคกามสุขัลลิกานุโยค เวลามันทุกข์มันยาก อัตตกิลมถานุโยคเวลามันสุขขึ้นมามันก็เป็นกามสุขัลลิกานุโยคแล้วพอดีมันอยู่ที่ไหน มัชฌิมาปฏิปทา ความพอดี ความพอดีมันต้องมีสติมีปัญญาของมันไง ถ้ามีสติมีปัญญา เวลาพระพุทธศาสนาสอน สอนอย่างนี้เวลาใจที่สัมผัสธรรมได้ สัมผัสอย่างนี้

แต่เวลาภาวนาไปจิตมันสงบขึ้นมา เห็นเทวดา เห็นอินทร์ เห็นพรหมโอ๋ย! รู้วาระจิตของคน รู้หัวใจของคน...เห็น จิตส่งออก การเห็นนั่นน่ะจิตส่งออกวัฏฏะมันมีไงเวลาเขาไม่เชื่อว่านรกสวรรค์มีทุกอย่างมี เขาไม่เชื่อ เวลาไม่เชื่อขึ้นมาก็บอกสวรรค์ในอกนรกในใจ...ใช่เพราะมันจับต้องได้ มันรับรู้ได้สวรรค์ในอกนรกในใจ แล้วมึงตายแล้วไปไหนล่ะ

ในปัจจุบันนี้สวรรค์ในอก นรกในใจ สุคโต ถ้าปัจจุบันนี้สุคโตอนาคตมันก็จะสุคโต ถ้าในปัจจุบันนี้มันมีแต่นรกอเวจีอนาคตมันจะไปไหนล่ะ มันก็ไปนรกอเวจี นี่ไงสวรรค์ในอกนรกในใจ

แต่เวลาจิตมันไปแล้ว นี่ว่ามิติไง นรกสวรรค์ไง เทวดาอินทร์ พรหมไงมิติหนึ่งไง เป็นภพชาติที่จิตนี้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง ใครจะเห็นหรือไม่เห็นใครจะรู้หรือไม่รู้เรื่องของเอ็ง นี่ธรรมะเป็นธรรมชาติ เวลาธรรมะเป็นธรรมชาติเทวดา อินทร์พรหม เอ็งเคยเห็นไหม เอ็งเคยเห็นธรรมชาติอย่างนี้ไหมล่ะธรรมชาติที่มันไปพักเวลาที่มันทำบุญกุศล เอ็งเคยเห็นไหม เอ็งก็ไม่เคยเห็นแล้วว่าธรรมะเป็นธรรมชาติไงแล้วกิเลสเป็นธรรมชาติหรือเปล่าล่ะ กิเลสก็เป็นธรรมชาติไง

แต่ถ้าเราเป็นอริยสัจศาสนาพุทธสอนเรื่องอริยสัจทุกข์ สมุทัยนิโรธ มรรคทุกข์เป็นความจริง ที่ว่า ความอาลัยอาวรณ์ความอ้อยสร้อยความทุกข์อันละเอียด ถ้าเป็นทางโลกเขาไม่ใช่ความทุกข์นะ แต่ถ้าเป็นทางธรรม มันยังมีของมันอยู่เวลาถึงที่สุดแล้วจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส มันใสมันก็เศร้าหมองมันใส มันก็อ้างว้าง มันใสมันก็ว้าเหว่ มันใสขนาดไหนนะแล้วใสแล้วไปอยู่กับใครล่ะ ใสแล้วใสอย่างไรนี่ถ้าความทุกข์อันละเอียดไง

ความทุกข์มันมีหลายซับหลายซ้อนนัก ไอ้ของเราความทุกข์ ไม่มีตังค์ใช้ ทุกข์เพราะเขาทวงหนี้ ถ้าเขาทวงหนี้ เป็นทุกข์ แต่ถ้าเราเป็นเจ้าหนี้ เป็นความสุขเอ็งไปทวงหนี้ก็เป็นทุกข์นะ ถ้าเขาไม่ให้เอ็ง เอ็งก็อดนะ

เวลาเราเห็น เราก็เห็นนี่เป็นทุกข์ไง แต่ถ้าเป็นเรา ไม่ทุกข์ ถ้าเป็นเราดีไปหมด นี่ไงถ้ามันไม่เห็นกิเลส ไม่เห็นภวาสวะ ไม่เห็นภพในความตั้งอยู่ของความคิดไม่เห็นนะ มันไม่เห็นเพราะมันไม่รู้ไง พอไม่เห็นไม่รู้ก็ไม่ใช่อริยสัจไง แล้วก็บอกไปรู้นู่นรู้นี่ว่าปัญญาภายนอก ปัญญาภายใน เห็นโม้กันไปเรื่อย แล้วปัญญาจริงๆเป็นอย่างไร 

ปัญญาในพระพุทธศาสนา ปัญญาในพระพุทธศาสนามีครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว ถ้ามันเป็นจริงในใจเราแล้ว เวลามันเป็นธรรมจักรเวลาปัญญามันหมุน เวลาปัญญามันหมุนมันมีความมหัศจรรย์ของมัน ถ้ามหัศจรรย์ของใจ ใจมหัศจรรย์แล้ว กิเลสที่มันซ่อนๆ อยู่ในหัวใจ พอมันเห็นปัญญานี้กำราบปราบปรามมัน 

สิ่งที่เวลาไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในตู้พระไตรปิฎกเวลาศึกษามาแล้วมันก็นอนกระดิกเท้านะเออ! ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่รู้เรื่องเราไม่สน เวลาธรรมจักร ศีลสมาธิ ปัญญาโม้มันเข้าไปจักรมันหมุนเข้าไป เวลากงจักรเป็นความทุกข์ความยาก มันฟาดมันฟันในหัวใจมันทุกข์มันยากนักเวลามันเป็นธรรมจักร สิ่งที่เป็นธรรม ถ้ามันบีบบี้สีไฟกิเลสเข้ามา นั่นแหละกิเลสมันเดือดร้อน เวลาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้ามันกระดิกเท้าเลยเออ! ศึกษาแล้วมันบังเงา อ้างธรรมะนั้นบิดเบือนไง เขาเรียกว่าเลี่ยงบาลีไง แต่ถ้าเวลาเป็นจริงๆขึ้นมา ถ้าเป็นสัจจะความจริงกิเลสมันจะไปอยู่ที่ไหน นี่ไงไม่เห็นกิเลส ไม่รู้จักกิเลส เวลามันบีบบี้สีไฟเข้าไปในธรรมจักรแล้วมันจะเห็นความมหัศจรรย์ แล้วความมหัศจรรย์มันอยู่ที่ไหนล่ะ

เวลาการศึกษา เวลาไปดูงานขึ้นมา มันต้องมีที่ให้ดูใช่ไหม แต่เวลาจริงๆ ขึ้นมาแล้วมันต้องอยู่ในใจของสัตว์โลกใช่ไหม มันเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกในหัวใจนั้นใช่ไหม ถ้าเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกในใจนั้นถ้าใจมันเป็นจริงๆ ขึ้นมา มันเหนือโลก มันเหนือโลกเหนือสงสาร ถ้าเหนือโลกเหนือสงสารแต่มันเกิดในใจของมนุษย์นี่แหละ มันไม่เกิดมาจากที่ไหนหรอก ฉะนั้นเวลาสัจจะความจริงที่ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมามันเป็นอย่างนี้

แต่เวลาพูดมาการศึกษาการศึกษามันก็ใช่ ศึกษามาน่ะถูก ศึกษาธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่กิเลสมันกระดิกเท้า กิเลสมันกระดิกเท้าเลย เออ! ศึกษาเดี๋ยวเอ็งก็มายอมจำนนกูหมดเดี๋ยวกูพาเอ็งออกไปถูลู่ถูกังได้

แต่ถ้าเป็นศีล สมาธิปัญญา ที่เรามาวัดมาวากันก็เพราะเหตุนี้ไงมาวัดมาวามาขังมันไว้ มาขังมันไว้ ถ้าอย่างมากก็ให้ความคิดมันอยู่มันสมองนี้ อยู่ในร่างกายนี้ อย่าไปเบียดเบียนคนอื่น อย่าไปกระทบกระเทือนใคร เอามันให้ได้ เอามันให้อยู่นี่ไม่อย่างนั้นน่ะเวลามาแล้วมันวุ่นวายไปหมดวุ่นวายไปหมดส่งออกทั้งนั้นน่ะนี่การส่งออกนะ 

นี่พูดถึงว่าฟังธรรมๆเพื่อเหตุนี้ เราเกิดเป็นมนุษย์นะ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ลาภอันประเสริฐ ลาภอันประเสริฐได้ชีวิตนี้มา ชีวิตนี้มีค่ามาก เวลาตายไปแล้วเขาไปเซ่นไหว้กันตามสามแยกสี่แยก เวลาคิดถึงกัน คิดถึงกันก็คิดถึงเพราะเราได้อยู่ด้วยกันไงถ้าเราไม่เคยพบเห็นหน้ากันเลย เราจะคิดถึงกันไหมล่ะ นี่ไงเวลาตายไปแล้วก็มาห่วงหาอาลัยอาวรณ์เท่านั้นน่ะ

แต่ถ้ามันอยู่นะ เราเห็นแล้วมันสังเวชไงเช้าชามเย็นชามทำไปพอเป็นพิธีแล้วเขาอยู่กันสุขสงบระงับ มึงมาจากไหนมึงมาวุ่นวายในวัดกูนี่ มึงมาจากไหน วัดกูเขาอยู่กันด้วยความสุขสงบ มึงมาจากไหนมึงจะมาวุ่นวายในวัดนี้เอ็งชอบสิ่งใดก็อยู่ในวัดของเอ็งสิ อยู่ในกลุ่มชนของเอ็งสิ

ถ้าวัดปฏิบัติเขาเป็นอย่างนี้ไง มีหูมีตาสิ ฝึกหัด ดูเขาทำ ดูเขาทำว่าเขาทำอย่างไรแล้วทดสอบสิพิสูจน์สิว่าเขาทำไม่ใช่ เขาทำผิด เราทำได้ดีกว่า เราเหนือกว่า ลองมาสิไม่มีอะไรทั้งสิ้น

โลกธรรม๘ อยากมีหน้ามีตา อยากมีคนเคารพนับถือ ก็เคารพนับถือบ้านมึงสิ มึงมาที่นี่ทำไม อย่ามาที่นี่ อย่ามาวุ่นวายที่นี่ ที่นี่สำนักปฏิบัติ เอวัง